อนุทินที่ 2
แบบฝึกหัดท้ายบทที่ 1 📚
1.ท่านคิดว่าทำไมมนุษย์เราต้องมีกฎหมายหากไม่มีจะเป็นอย่างไร
👉 ตอบ มนุษย์จำเป็นอย่างยิ่งที่ต้องมีกฎหมายในการดำเนินชีวิต เนื่องจากมนุษย์เป็นสัตว์สังคม มักอยู่รวมกันเป็นกลุ่ม เพื่อความเป็นระเบียบเรียบร้อยและความสงบสุขในสังคม แน่นอนเรามิอาจปฏิเสธได้ว่าทุกคนล้วนมีความคิด ทัศนคติ และพฤติกรรมที่ต่างกัน ซึ่งสิ่งเหล่านี้ในความต่างก็ย่อมก่อให้เกิดปัญหาความขัดแย้งขึ้นได้หากปราศจากกฎหมายที่ใช้ในการกำหนดพฤติกรรมและการกระทำของมนุษย์ ดังนั้นจึงต้องมีการตั้งกฎแลระเบียบขึ้นเพื่อจำกัดสิทธิบางอย่าง และให้มีเสรีภาพเท่าที่จำเป็น เพื่อที่มนุษย์จะได้อยู่ร่วมกันอย่างมีความสุข ไม่ให้เกิดความขัดแย้งเอารัดเอาเปรียบและเกิดการเข่นฆ่ากันขึ้นในสังคม
2.ท่านคิดว่าสังคมปัจจุบันจะอยู่ได้หรือไม่หากไม่มีกฎหมายและจะเป็นอย่างไร
👉 ตอบ ดิฉันคิดว่าในสังคมปัจจุบันหากปราศจากกฎหมายสังคมก็ยังคงดำเนินต่อไปได้แต่จะไร้ซึ่งความสงบสุข เกิดความวุ่นวายต่างๆตามมาหากไม่มีกฎหมายในการควบคุมการกระทำและพฤติกรรมของมนุษย์ คนที่มีโอกาสน้อยกว่าก็จะโดนเอารัดเอาเปรียบ โดยผู้น้อยก็ไม่มีสิทธิ์เรียกร้องอะไร ความสงบสุขก็จะหายไปเป็นบ้านเมืองที่วุ่นวาย มีปัญหาต่างๆเกิดขึ้น เช่น การปล้น มีการทะเลาะวิวาท ทำร้ายร่างกาย มีการแก่งแย่ง การแก้แค้นซึ่งกันและกันไม่จบสิ้นและหากไม่มีกฎหมายเพื่อลงโทษผู้กระทำผิดเพื่อเป็นบทเรียนให้กับคนในสังคมแน่นอนสังคมจะมีผู้กระทำผิดเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง
3. ท่านมีความรู้ความเข้าเกี่ยวกับกฎหมายในประเด็นต่อไปนี้
2.ท่านคิดว่าสังคมปัจจุบันจะอยู่ได้หรือไม่หากไม่มีกฎหมายและจะเป็นอย่างไร
👉 ตอบ ดิฉันคิดว่าในสังคมปัจจุบันหากปราศจากกฎหมายสังคมก็ยังคงดำเนินต่อไปได้แต่จะไร้ซึ่งความสงบสุข เกิดความวุ่นวายต่างๆตามมาหากไม่มีกฎหมายในการควบคุมการกระทำและพฤติกรรมของมนุษย์ คนที่มีโอกาสน้อยกว่าก็จะโดนเอารัดเอาเปรียบ โดยผู้น้อยก็ไม่มีสิทธิ์เรียกร้องอะไร ความสงบสุขก็จะหายไปเป็นบ้านเมืองที่วุ่นวาย มีปัญหาต่างๆเกิดขึ้น เช่น การปล้น มีการทะเลาะวิวาท ทำร้ายร่างกาย มีการแก่งแย่ง การแก้แค้นซึ่งกันและกันไม่จบสิ้นและหากไม่มีกฎหมายเพื่อลงโทษผู้กระทำผิดเพื่อเป็นบทเรียนให้กับคนในสังคมแน่นอนสังคมจะมีผู้กระทำผิดเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง
3. ท่านมีความรู้ความเข้าเกี่ยวกับกฎหมายในประเด็นต่อไปนี้
ก. ความหมาย ข. ลักษณะหรือองค์ประกอบของกฎหมาย
ค. ที่มาของกฎหมาย ง. ประเภทของกฎหมาย
👉 ตอบ
ก. ความหมาย
กฎหมาย คือ คำสั่งหรือข้อบังคับที่เกิดจากรัฎฐาธิปไตย์ จากคณะบุคคลที่มีอำนาจสูงสุดของรัฐ เป็นข้อบังคับใช้กับคนทุกคนที่อยู่ในรัฐหรือประเทศนั้นๆจะต้องปฏิบัติตามและมีสภาพบังคับที่มีการกำหนดบทลงโทษ
ข. ลักษณะหรือองค์ประกอบของกฎหมาย
ประกอบด้วย 4 ประการ คือ
1. เป็นคำสั่งหรือข้อบังคับที่เกิดจากรัฎฐาธิปไตย์ที่องค์กรหรือคณะบุคคลที่มีอำนาจสูงสุดอาทิ รัฐสภาฝ่ายนิติบัญญัติ หัวหน้าคณะปฏิวัติ กษัตริย์ในระบบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ สามารถใช้อำนาจบัญญัติกฎหมายได้ เช่น รัฐสภาตราพระราชบัญญัติ คณะรัฐมนตรีตราพระราชกำหนดพระราชกฤษฎีกา คณะปฏิวัติออกคำสั่งหรือประกาศคณะปฏิวัติชุดต่าง ๆ ถือว่าเป็นกฎหมาย
2. มีลักษณะเป็นคำสั่งข้อบังคับ อันมิใช่คำวิงวอน ประกาศ หรือแถลงการณ์ อาทิ ประกาศของกระทรวงศึกษาธิการ คำแถลงการณ์ของคณะสงฆ์ ให้ถือเป็นแนวปฏิบัติมิใช่กฎหมาย
3. ใช้บังคับกับคนทุกคนในรัฐอย่างเสมอภาค เพื่อให้ทุกคนเกรงกลัวและถือปฏิบัติสังคมจะสงบสุขได้
4. มีสภาพบังคับ ซึ่งบุคคลจะต้องปฏิบัติตามกฎหมายโดยเฉพาะการกระทำและการงดเว้นการกระทำตามกฎหมายนั้นๆ กำหนด หากฝ่าฝืนไม่ปฏิบัติตามฝ่าฝืนอาจถูกลงโทษหรือไม่ก็ได้ และสภาพบังคับในทางอาญาคือ โทษที่บุคคลผู้ที่กระทำผิดจะต้องได้รับโทษ เช่น รอลงอาญา ปรับจำคุก กักขัง ริบทรัพย์ แต่หากเป็นคดีแพ่ง ผู้ฝ่าฝืนไม่ปฏิบัติตามกฎหมายจะต้องชดใช้ค่าสินไหมทดแทน หรือค่าเสียหายหรือชำระหนี้ด้วยการส่งมอบทรัพย์สินให้กระทำหรืองดเว้นกระทำอย่างใดอย่างหนึ่งตามมูลหนี้ที่มีต่อกันระหว่างเจ้าหนี้และลูกหนี้ เช่น บังคับใช้หนี้เงินกู้พร้อมดอกเบี้ยบังคับให้ผู้ขายส่งมอบหรือโอนทรัพย์สินให้แก่ผู้ซื้อตามสัญญาซื้อขาย เป็นต้น
ค. ที่มาของกฎหมาย
ที่มาของกฎหมาย พอที่จะสรุปได้ 5 ลักษณะดังนี้
1. บทบัญญัติแห่งกฎหมาย เป็นกฎหมายลายลักษณ์อักษร
2. จารีตประเพณี เป็นแบบอย่างที่ประชาชนนิยมปฏิบัติตามกันมานาน หากนำไปบัญญัติเป็นกฎหมายลายลักษณ์อักษรแล้วย่อมมีสภาพไปเป็นกฎหมาย
3. ศาสนา เป็นข้อห้ามและข้อปฏิบัติที่ดีของทุกๆ ศาสนาสอนให้เป็นคนดี
4. คำพิพากษาของศาลหรือหลักบรรทัดฐานของคำพิพากษา ซึ่งคำพิพากษาของศาลชั้นสูงเป็นแนวทางที่ศาลชั้นต้นต้องนำไปถือปฏิบัติในการตัดสินคดีหลัง ๆ ซึ่งแนวทางเป็นเหตุผลแห่งความคิดของตนว่าทำไมจึงตัดสินคดีเช่นนี้ อาจนำไปสู่การแก้ไขกฎหมายในแนวความคิดนี้ได้ จะต้องตรงตามหลักความจริงมากที่สุด
5. ความเห็นของนักนิติศาสตร์ เป็นการแสดงความคิดเห็นว่าสมควรที่จะออกกฎหมายอย่างนั้น สมควรหรือไม่ จึงทำให้นักนิติศาสตร์ อาจจะเป็นอาจารย์ผู้มีชื่อเสียงในกฎหมายได้แสดงความคิดเห็นว่ากฎหมายฉบับนั้นได้ ในประเด็นที่น่าสนใจเพื่อที่จะแก้ไขกฎหมายให้เกิดประโยชน์สูงสุดกับประชาชนดังกล่าว
ง. ประเภทของกฎหมาย
ก. กฎหมายภายใน มีดังนี้
1. กฎหมายที่เป็นลายลักษณ์อักษรและไม่เป็นลายลักษณ์อักษร
1.1 กฎหมายที่เป็นลายลักษณ์อักษร
-แบ่งโดยยึดเนื้อหาของกฎหมายที่ปรากฏเป็นหลัก โดยผ่านกระบวนการบัญญัติกฎหมาย
1.2 กฎหมายที่เป็นไม่เป็นลายลักษณ์อักษร
-เป็นกฎหมายที่มิได้มีการบัญญัติโดยผ่านกระบวนการนิติบัญญัติ
2. กฎหมายที่มีสภาพบังคับทางอาญา และกฎหมายที่มีสภาพบังคับทางแพ่ง
2.1 กฎหมายที่มีสภาพบังคับทางอาญา
-เช่น การประหารชีวิต จำคุก กักขัง ปรับ หรือริบทรัพย์สิน สภาพบังคับทางอาญาจึงเป็นโทษอย่างใดอย่างหนึ่งหรือหลายอย่าง ใช้ลงโทษกับผู้กระทำผิดทางอาญา
2.2 กฎหมายที่มีสภาพบังคับทางแพ่ง
-เช่น การกำหนดให้เป็น โมฆะกรรมหรือโมฆียกรรม การบังคับให้ชำระหนี้ การให้ชดใช้ค่าเสียหาย หรือการที่กฎหมายบังคับให้ทำอย่างใดอย่างหนึ่งเพื่อความเป็นธรรม
3. กฎหมายสารบัญญัติ และกฎหมายวิธีสาบัญญัติ
3.1 กฎหมายสารบัญญัติ
-แบ่งโดยคำนึงถึงบทบาทของกฎหมายเป็นหลัก
3.2 กฎหมายวิธีสบัญญัติ
-กล่าวถึง วิธีการและขั้นตอนในการใช้กฎหมายบังคับ
4. กฎหมายมหาชน และกฎหมายเอกชน
4.1 กฎหมายมหาชน
-เป็นกฎหมายที่กำหนดความสัมพันธ์ระหว่างรัฐกับประชาชน
4.2 กฎหมายเอกชน
-เป็นกฎหมายที่มีความสัมพันธ์ระหว่างเอกชนด้วยกัน
ข. กฎหมายภายนอก มีดังนี้
1. กฎหมายระหว่างประเทศแผนกคดีเมือง
-เป็นกฎหมายที่ว่าด้วยความสัมพันธ์ระหว่างรัฐต่อรัฐในการที่จะต้องปฏิบัติต่อกันและกัน
2. กฎหมายระหว่างประเทศแผนกคดีบุคคล
-เป็นข้อบังคับที่ว่าด้วยความสัมพันธ์ระหว่างบุคคลในรัฐต่างรัฐ
3. กฎหมายระหว่างประเทศแผนกคดีอาญา
-เป็นข้อบังคับที่ประเทศหนึ่งหรือรัฐหนึ่งตกลงยอมรับให้ศาลส่วนอาญาของอีกรัฐหนึ่งมีอำนาจในการพิจาณาลงโทษอาญาแก่บุคคลที่ได้กระทำผิดนอกประเทศนั้นได้
4. ท่านมีความคิดเห็นอย่างไร ว่า ทำไมทุกประเทศจำเป็นต้องมีกฎหมายจงอธิบาย
👉 ตอบ ทุกประเทศจำเป็นต้องมีกฎหมาย เพราะทุกประเทศมีการปกครองเป็นของตนเอง มีสภาพและความเป็นอยู่ที่แตกต่างกัน จึงทำให้กฏหมายในแต่ละประเทศก็ย่อมแตกต่างกันไปด้วย ไม่ว่าจะเป็นตัวบทกฎหมาย หรือบทลงโทษที่มีความรุนแรงแตกต่างกันไปในแต่ละประเทศ ซึ่งการที่ผู้นำประเทศจะปกครองประชาชนในประเทศนั้นได้ จำเป็นต้องมีเครื่องมือในการปกครอง นั่นก็คือ “กฎหมาย” เป็นตัวกำหนดการดำรงชีวิตในรูปแบบของสังคมหรือประเทศชาติ เพื่อการอยู่ด้วยกันอย่างปกติสุขและความเป็นปึกแผ่น เกิดสันติภาพและความมั่นคงในประเทศนั้นๆ
5. สภาพบังคับในทางกฎหมายท่านมีความเข้าใจอย่างไร จงอธิบาย
👉 ตอบ สภาพบังคับในทางกฎหมาย คือ กฎหมายเป็นกฎเกณฑ์ที่กำหนดความประพฤติของมนุษย์ เพื่อให้มนุษย์จำต้องปฏิบัติตามกฎเกณฑ์ จึงจำเป็นต้องมีสภาพบังคับในกรณีที่มีการฝ่าฝืนกฎเกณฑ์ กฎหมายใดไม่มีสภาพบังคับ ไม่เรียกว่าเป็นกฎหมาย
6. สภาพบังคับกฎหมายในอาญาและทางแพ่ง มีความเหมือนหรือแตกต่างกันอย่างไร
👉 ตอบ แตกต่างกันด้วยสภาพบังคับ ตามกฎหมายอาญา สภาพบังคับก็คือการลงโทษตามกฎหมาย เช่น การจำคุกหรือการประหารชีวิต ซึ่งมุ่งหมายเพื่อจะลงโทษผู้กระทำความผิดให้เข็ดหลาบ แต่ตามกฎหมายแพ่งฯ นั้น สภาพบังคับจะมุ่งหมายไปที่การเยียวยาให้แก่ผู้เสียหายเพื่อให้เกิดความเสียหายน้อยที่สุด เช่น การชดใช้ค่าสินไหมทดแทน หรือการบังคับให้กระทำการตามสัญญาที่ตกลงกันไว้ ฯลฯ ซึ่งบางกรณีผู้ที่ฝ่าฝืนกฎหมายก็อาจต้องต้องถูกบังคับทั้งทางอาญาและทางแพ่งฯ ในคราวเดียวกันก็ได้
7. ระบบกฎหมายเป็นอย่างไร จงอธิบาย
👉 ตอบ ระบบกฎหมายเเบ่งออกเป็น 2 ระบบ ดังนี้
7.1 ระบบซีวิลลอร์ หรือระบบลายลักษณ์อักษร ถือกำเนิดขึ้นในทวีปยุโรปราวคริสต์ศตวรรษที่ 12 เป็นระบบเอามาจาก “Jus Civile” ใช้แยกความหมาย “Jus Gentium” ของโรมัน ซึ่งมีลักษณะพิเศษกล่าวคือ เป็นกฎหมายลายลักษณ์อักษรที่มีความสำคัญกว่าอย่างอื่น คาพิพากษาของศาลไม่ใช่ที่มาของกฎหมาย แต่เป็นบรรทัดฐานแบบอย่างของการตีความกฎหมายเท่านั้น เริ่มต้นจากตัวบทกฎหมายเป็นสำคัญ จะถือเอาคาพิพากษาศาลหรือความคิดเห็นของ นักกฎหมายเป็นหลักไม่ได้ ยังถือว่า กฎหมายเอกชนและกฎหมายมหาชนเป็นคนละส่วนกัน และการวินิจฉัยคดีผู้พิพากษาเป็นผู้ตัดสินชี้ขาด กลุ่มประเทศที่ใช้กฎหมายนี้
7.2 ระบบคอมมอนลอว์ (Common Law System) เกิดและวิวัฒนาการขึ้นในประเทศอังกฤษมีรากเหง้ามาจากศักดินา ซึ่งจะต้องกล่าวถึงคาว่า “เอคควิตี้ (equity) เป็นกระบวนการเข้าไปเสริมแต่งให้คอมมอนลอว์ เป็นการพัฒนามาจากกฎหมายที่ไม่เป็นลายลักษณ์อักษร นำเอาจารีตประเพณีและคาพิพากษา ซึ่งเป็นบรรทัดฐานของศาลสมัยเก่ามาใช้ จนกระทั่งเป็นระบบกฎหมายที่มีความสมบูรณ์ในตัวเอง การวินิจฉัยต้องอาศัยคณะลูกขุนเป็นผู้ตัดสินชี้ขาด ประเทศที่ใช้ระบบกฎหมายนี้
8. ประเภทของกฎหมายมีหลักการแบ่งอย่างไรบ้าง มีกี่ประเภท แต่ละประเภทประกอบด้วยอะไรบ้างยกตัวอย่างอธิบาย
👉 ตอบ สามารถพิจาณาแบ่งประเภทของกฎหมายออกเป็นกลุ่มย่อย ๆ แบ่งได้หลายลักษณะขึ้นอยู่กับว่าเราใช้อะไรเป็นหลักในการแบ่ง ได้เเก่ แบ่งโดยแหล่งกำเนิด อาจแบ่งออกได้เป็นกฎหมายภายในและกฎหมายภายนอก กฎหมายภายใน เป็นหลักในการแบ่งย่อยออกไปได้อีก เช่น แบ่งโดยถือเนื้อหาเป็นหลักเป็นกฎหมายลายลักษณ์อักษรและกฎหมายที่ไม่ได้เป็นลายลักษณ์อักษร แบ่งโดยถือสภาพบังคับกฎหมายเป็นหลัก เป็นกฎหมายอาญาและกฎหมายแพ่ง แบ่งโดยถือลักษณะเป็นหลัก แบ่งได้เป็น กฎหมายสารบัญญัติและกฎหมายวิธีสบัญญัติ แบ่งโดยถือฐานะและความสัมพันธ์ระหว่างรัฐกับประชาชนเป็นเกณฑ์แบ่งได้เป็นกฎหมายมหาชน และกฎหมายเอกชน
ประเภทของกฏหมายสามารถแบ่งออกได้เป็น 4 ประเภท คือ
1. กฎหมายที่เป็นลายลักษณ์อักษรและไม่เป็นลายลักษณ์อักษร
1.1 กฏหมายที่เป็นลายลักษณ์อักษร เช่น รัฐธรรมนูญ พระราชบัญญัติ ประมวลกฎหมายต่าง ๆ พระราชกำหนด พระราชกฤษฎีกา
1.2 กฏหมายที่ไม่เป็นลายลักษณ์อักษร เช่น จารีตประเพณี หลักกฎหมายทั่วไป
2. กฎหมายที่มีสภาพบังคับทางอาญาและกฎหมายที่มีสภาพบังคับทางแพ่ง
2.1 กฎหมายที่มีสภาพบังคับทางอาญา เช่น การประหารชีวิต จำคุก กักขัง ปรับ หรือริบทรัพย์สิน
2.2 กฎหมายที่มีสภาพบังคับทางแพ่ง เช่น การกำหนดให้เป็นโมฆะกรรมหรือโมฆียกรรม การบังคับ ให้ชำระหนี้การให้ชดใช้ค่าเสียหาย หรือการที่กฎหมายบังคับให้ทำอย่างใดอย่างหนึ่งเพื่อความเป็นธรรม
3. กฎหมายสารบัญญัติ และกฎหมายวิธีสบัญญัติ
3.1 กฎหมายสารบัญญัติ เช่น ตัวบทกฎหมายในประมวลกฎหมายอาญาและในประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชเกือบทุกมาตราเป็นกฎหมายสารบัญญัติ
3.2 กฎหมายวิธีสบัญญัติ พระราชบัญญัติล้มละลาย มีทั้งหลักเกณฑ์องค์ประกอบและวิธีการดำเนินคดีล้มละลายรวมอยู่ด้วยการที่จะเป็นไปกฎหมายประเภทใดให้ดูว่า สาระนั้นหนักไปทางใดมากกว่ากัน
4. กฎหมายมหาชน และกฎหมายเอกชน
4.1 กฎหมายมหาชน ได้แก่กฎหมายรัฐธรรมนูญ กำหนดระเบียบแบบแผนการใช้อำนาจอธิปไตย กำหนดสิทธิและหน้าที่ของประชาชน กฎหมายปกครองกำหนดการแบ่งส่วนราชการเพื่อบริหารประเทศ และการบริการสาธารณะด้านต่าง ๆ แก่ประชาชน กฎหมายอาญา เพื่อคุ้มครองความสงบในสังคม ฯลฯ
4.2 กฎหมายเอกชน กฎหมายแพ่งและพาณิชย์และพระราชบญัญัติบางฉบับ
9. ท่านเข้าใจถึงคำว่า ศักดิ์ของกฎหมายคืออะไร มีการแบ่งอย่างไร
👉 ตอบ ศักดิ์ของกฏหมาย คือ การจัดลำดับฐานะหรือความสูงต่ำของกฎหมาย โดยมีหลักในการตีความว่า กฎหมายที่มีศักดิ์ต่ำกว่าคือมีลำดับชั้นต่ำกว่าจะขัดหรือแย้งต่อกฎหมายที่มีศักดิ์สูงกว่า หรือมีลำดับชั้นสูงกว่ามิได้ หรืออีกนัยหนึ่งคือ ลำดับความสูงต่ำของกฎหมายที่ไม่เท่าเทียมกัน ซึ่งความไม่เท่าเทียมกันของกฎหมายแต่ละฉบับนั้น พิจารณาได้จากองค์กรที่มีอำนาจในการออกกฎหมาย หมายความว่ากฎหมายแต่ละฉบับจะมีชั้นของกฎหมายในระดับนั้น ให้พิจารณาจากองค์กรที่ออกกฎหมายฉบับนั้น
ตัวอย่างเช่น รัฐธรรมนูญ เป็นกฎหมายที่ออกโดยองค์กรนิติบัญญัติสูงสุดของประเทศ คือ รัฐสภา แต่บางกรณีอาจมีองค์กรอื่นเป็นผู้จัดให้มีกฎหมายในระดับรัฐธรรมนูญได้ เช่น คณะปฏิวัติออกรัฐธรรมนูญการปกครอง ซึ่งเป็นรัฐธรรมนูญฉบับชั่วคราว
การจัดแบ่งลำดับชั้นของกฎหมายไทยสามารถจัดแบ่งลำดับชั้นได้ดังนี้
1. รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย
2. พระราชบัญญัติและประมวลกฎหมาย
3. พระราชกำหนด
4. ประกาศพระบรมราชโองการให้ใช้บังคับ
5. พระราชกฤษฎีกา
6. กฎกระทรวง
7. ข้อบัญญัติจังหวัด
8. เทศบัญญัติ
9. ข้อบังคับองค์การบริหารส่วนตำบล
10. เหตุการณ์ เมื่อวันที่ 24 พฤศจิกายน 2555 มีเหตุการณ์ชุมนุมของประชาชน ณ ลานพระบรมรูปทรงม้า และประชาชนได้ประกาศว่าจะมีการประชุมอย่างสงบ แต่ปรากฏว่ารัฐบาลประกาศเป็นเขตพื้นที่ห้ามชุมนุม และขัดขว้างไม่ให้ประชาชนชุมนุมอย่างสงบ ลงมือทำร้ายร่างกายประชาชน ในฐานะท่านเรียนวิชานี้ท่านจะอธิบายบอกเหตุผลว่ารัฐบาลกระทำผิดหรือถูก
👉 ตอบ จากเหตุการณ์ดังกล่าวดิฉันมองว่ารัฐบาลกระทำผิด ข้อแรกในการกระทำผิดคือรัฐบาลขัดขวางการประชุมของประชาชนซึ่งขัดต่อกฎหมายรัฐธรรมนูญที่ว่าประชาชนมีสิทธิในการที่จะเรียกร้องสิทธิของตน ซึ่งข้อนี้ถือได้ว่ารัฐบาลละเมิดสิทธิของประชาชน และการชุมนุมไม่ได้ทำให้ผู้อื่นเกิดความเดือดร้อนหรือรับความเสียหายอันตรายแต่อย่างใด และอีกอย่างเป็นการชุมนุมที่สงบ และที่ร้ายแรงกว่านั้นคือการที่รัฐบาลทำร้ายร่างกายประชาชน ซึ่งถือเป็นความรุนแรงที่มิควรเกิดขึ้น เพราะหากผู้นำไม่มีการรับฟังหรือไม่ให้ประชาชนเสนอความคิดเห็นในการปกครองใดๆ สังคมนั้นก็จะขาดซึ่งความสันติสุข
11. ท่านมีความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับ คำว่า กฎหมายการศึกษาอย่างไร จงอธิบาย
11. ท่านมีความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับ คำว่า กฎหมายการศึกษาอย่างไร จงอธิบาย
👉 ตอบ กฎหมายการศึกษา เป็นบทบัญญัติตามกฎหมายรัฐธรรมนูญได้กำหนดให้มีกฎหมายการศึกษาขึ้นที่จะเชื่อมโยงกับกฎหมายรัฐธรรมนูญว่าด้วยการศึกษา เป็นกฎหรือคำสั่งหรือข้อบังคับของรัฐที่เกี่ยวข้องกับการศึกษาที่สถาบันหรือหน่วยงานผู้มีอำนาจได้ตราขึ้นบังคับใช้ซึ่งกฎหมายเกี่ยวกับการศึกษาในปัจจุบันเป็นพระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ.2542 ซึ่งเป็นกฎหมายที่ออกมาสอดคล้องกับบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยที่กำหนดให้รัฐต้องจัดการศึกษา ถือได้ว่าเป็นกรอบเเนวทางในการปฏิบัติหรือการพัฒนาทางการศึกษา ไม่ว่าจะเป็นทางด้านการศึกษา การเรียนการสอน หรือด้านบุคลากรเอง หรือการจัดการอบรมและสนับสนุนให้เอกชนจัดการศึกษาอบรมให้เกิดความรู้คู่คุณธรรม ประเทศชาติจึงต้องทุ่มเทงบประมาณจำนวนมหาศาลเพื่อพัฒนาการศึกษา สำหรับการจัดการศึกษาของทุกประเทศรวมทั้งประเทศไทยมุ่งเน้นให้คนในสังคมมีความสมบูรณ์ทั้งด้านร่างกาย จิตใจ สติปัญญา มีความรู้คู่คุณธรรม และดำรงไว้ซึ่งวัฒนธรรมประเพณีของชาติ และได้จัดให้มีกฎหมายเกี่ยวกับการศึกษาแห่งชาติ ปรับปรุงการศึกษาให้สอดคล้องกับความเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจและสังคมของประเทศเเละสร้างเสริมความรู้และปลูกฝังจิตสำนึกที่ถูกต้องเกี่ยวกับการเมืองการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข ฉะนั้นกฎหมายการศึกษาจึงเปรียบเสมือนตัวขับเคลื่อนเเละกรอบเเนวทางในการปฏิบัติให้บุคคลทางการศึกษาเเละระบบทางการศึกษาปฏิบัติไปในเเนวทางที่ถูกต้อง
12. ในฐานะที่นักศึกษาจะต้องเรียนวิชานี้ถ้าเราไม่ศึกษากฎหมายการศึกษาท่านคิดว่า เมื่อท่านไปประกอบอาชีพครูจะมีผลกระทบต่อท่านอย่างไรบ้าง
👉 ตอบ กฎหมายทางการศึกษา เป็นหัวใจสำคัญของการศึกษาและเป็นเรื่องพื้นฐานของคนเป็นครูที่ต้องมีความรู้ความเข้าใจในเรื่องดังกล่าว หากไม่มีความรู้ในเรื่องดังกล่าวก็ย่อมเป็นที่ลำบากของการเป็นครู เนื่องจากไม่สามารถที่จะเข้าใจจุดมุ่งหมาย หลักการ หรือข้อกำหนดระเบียบต่างๆของการศึกษาหรือทางราชการได้ ซึ่งจะส่งผลกระทบไปถึงการประกอบอาชีพและในด้านการสอน เนื่องจากครูขาดความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับแนวทางในการจัดการศึกษาให้กับผู้เรียน ก็ย่อมส่งผลให้ผู้เรียนเกิดการพัฒนาได้ไม่เต็มศักยภาพ และการที่ครูขาดความรู้ความเข้าใจในเรื่องดังกล่าวก็แสดงให้เห็นแล้วว่าครูขาดความรอบรู้ และขาดการแสวงหาความรู้ในตนเอง ซึ่งครูจักต้องพร้อมไปด้วย ภูมิรู้ ภูมิธรรม และภูมิฐาน เป็นแบบอย่างที่ดีให้แก่ศิษย์ได้ ซึ่งอาจจะส่งผลต่อภาพลักษณ์ที่ไม่ดีของการเป็นครู ดังนั้นคนเป็นครูจึงจำเป็นอย่างยิ่งที่ต้องศึกษากฏหมายดังกล่าว เมื่อเรามีความรู้ความเข้าใจที่แจ่มแจ้งก็ย่อมปฏิบัติงานสอนและหน้าที่อื่นๆได้อย่างเต็มความสามารถซึ่งจะส่งผลให้ทั้งตนเองและศิษย์เป็นบุคคลที่มีศักยภาพและประสิทธิภาพของสังคมและประทศชาติต่อไป
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น